อันตรายจากแผลเบาหวาน - โรคเบาหวาน

อ่าน 428 ครั้ง 13/Sep/23


 

อันตรายจากแผลเบาหวาน - โรคเบาหวาน

แผลเบาหวานเป็นบาดแผลเรื้อรังที่พบได้บ่อยที่สุด เนื่องจากผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานจะมีไขมันที่ไม่ย่อยสลายไปจับกับเส้นเลือด ส่งผลให้เส้นเลือดตีบและแข็งเกิดการอุดตันในที่สุด ส่งผลให้แผลหายยากเพราะไม่มีเลือดไปหล่อเลี้ยง
นอกจากนี้เมื่อป่วยด้วยโรคเบาหวาน ระบบประสาทรับความรู้สึกจะเสื่อม รับความรู้สึกได้น้อยลงหรือไม่ได้เลย ทำให้เท้าชา ไม่รู้สึกเจ็บเมื่อสัมผัสความร้อนหรือเย็น หรือแม้กระทั่งเล็บขบ จึงทำให้เกิดบาดแผลได้ง่าย เนื่องจากอาการเจ็บที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติช่วยให้ระวังการเกิดบาดแผล ดังนั้นบ่อยครั้งที่ผู้ป่วยเบาหวานมีแผล กว่าจะรู้ตัวแผลก็ลุกลามไปมากแล้ว อีกทั้งการที่ระบบประสาทสั่งการผิดปกติ ทำให้กล้ามเนื้อทำงานผิดปกติ ส่งผลให้เท้าผิดรูป เท้าบิดเบี้ยว เนื้อบริเวณปุ่มกระดูกบางแห่งต้องรับน้ำหนักเพิ่มขึ้นเกิดเป็นแผลได้เช่นกัน

หลายคนอาจสงสัยว่า ทำไมแผลเบาหวานส่วนใหญ่จึงเกิดที่เท้า เนื่องจากผู้ป่วยโรคเบาหวานมีเส้นเลือดตีบและอาการเสื่อมของระบบประสาทรับความรู้สึกส่วนปลาย ทำให้เกิดอาการชา เมื่อเป็นแผลที่เท้าในช่วงแรกมักไม่รู้สึก แต่จะรู้สึกเมื่อแผลรุนแรง ทำให้รักษายาก หายช้า และอาจร้ายแรงถึงขั้นตัดเท้า

อันตรายของแผลเบาหวาน

  • เรื้อรังรักษายาก เพราะแผลเบาหวานเป็นแผลเรื้อรัง ถ้าควบคุมน้ำตาลได้ไม่ดีจะหายยาก
  • หายช้า เนื่องจากแผลเบาหวานเกิดจากหลอดเลือดแดงตีบ ทำให้เลือดนำออกซิเจนและสารอาหารไปเลี้ยงอวัยวะส่วนปลายได้ไม่ดี ทำให้แผลขาดเลือดไปเลี้ยง แผลหายยาก หายช้า หรืออาจไม่หาย
  • ปลายประสาทเสื่อม เกิดจากอาการชา ทำให้ไม่รู้สึกเจ็บ ไม่รู้ว่าเกิดแผล ทำให้แผลลุกลามมากได้
  • เท้าผิดรูป ร่วมกับผิวแห้งหนาผิดปกติ เกิดหนังหนา ๆ เป็นก้อนนูนออกมากดเนื้อเยื่อข้างใต้ เรียกว่า Callus หากเท้าผิดรูปบิดเบี้ยว เกิดแรงกดเฉพาะที่จะทำให้เนื้อเยื่อตายรักษายาก
  • ระบบประสาทอัตโนมัติเสื่อม เนื่องจากเส้นประสาทไม่ดี มีผลต่อต่อมไขมันและต่อมเหงื่อ ทำให้การผลิตและหลั่งไขมันลดลง ส่งผลให้ผิวแห้ง แตก เกิดแผลได้ง่าย
  • เสี่ยงสูญเสียนิ้วและเท้า โดยเฉพาะผู้สูงอายุจะมีอัตราเสี่ยงต่อการเกิดแผลเรื้อรังและติดเชื้อรุนแรงมากกว่าคนปกติ เพราะระดับน้ำตาลสูง เส้นเลือดแดงตีบ เลือดไม่ไปเลี้ยง กลไกการต่อสู้กับเชื้อโรคบกพร่อง เสี่ยงต่อการติดเชื้อ อีกทั้งมีโอกาสเกิดเนื้อตายจากเส้นเลือดแดงส่วนปลายตีบนำไปสู่การสูญเสียนิ้วหรือขาได้ 

ดูแลหลังรักษาแผลเบาหวาน

  1. ดูแลเหมือนแผลทั่วไปตามคำแนะนำและการรักษาของแพทย์เฉพาะทาง
  2. รักษาที่ต้นเหตุหรือสิ่งที่ทำให้เกิดแผล ได้แก่ ควบคุมน้ำตาล ดูแลเส้นเลือดตีบ ดูแลเส้นประสาทที่เสื่อม หากเท้าผิดรูปควรแก้ที่รองเท้า ระวังไม่ให้เกิดแรงกดทับบริเวณ Callus เช่น หนุนตรงอื่นไม่ให้ถูกกดทับ เป็นต้น
  3. การบำบัดรักษาด้วยออกซิเจนความดันสูง (Hyperbaric Oxygen Therapy – HBOT) โดยให้ผู้ป่วยหายใจด้วยออกซิเจนบริสุทธิ์ 100% ขณะนอนอยู่ในห้องที่มีความดันภายในมากกว่าความกดดันของบรรยากาศ (Hyperbaric Chamber) เพื่อให้ร่างกายได้รับออกซิเจนในปริมาณที่สูงกว่าการให้ออกซิเจนตามปกติ เมื่อออกซิเจนในเลือดเพิ่มขึ้น ออกซิเจนละลายอยู่ในเลือดสูงกว่า จะสามารถแก้ภาวะพร่องออกซิเจน ลดการบวมของเนื้อเยื่อ ส่งเสริมการซ่อมแซมบาดแผล ทำให้แผลหายเร็ว โดยผู้ป่วยจะเข้าไปในเครื่อง HBOT วันละ 1 ครั้ง ๆ ละ 1 ชั่วโมงครึ่ง
  • ควบคุมเบาหวานให้ดี
  • ทำความสะอาดเท้าทุกวัน
  • ตรวจเท้าและฝ่าเท้าทุกวัน เช็กดูว่ามีแผลที่เท้าหรือมีรอยถลอกหรือไม่
  • ทาครีมไม่ให้เท้าแห้งแตก ยกเว้นซอกนิ้วเท้าไม่ต้องทาต้องให้แห้งอยู่เสมอเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
  • ถ้าเท้าผิดรูปอาจต้องตัดรองเท้าให้รับกับรูปเท้า

 


บทความที่เกี่ยวข้อง

สาระสุขภาพอื่นๆ